วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เด็กพิเศษติดเกมส์มากจริงๆหรือ

เด็กพิเศษติดเกมส์มากจริงๆหรือ

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมาที่ศาลาว่าการกรุงเทพได้มีการประชุมเกี่ยวกับเด็กพิเศษเพื่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กให้มีมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่จะเป็นอย่างไรกันบ้างเรามาติดตามชมกันได้เลยค่ะ


เนื่องจากการประชุมที่ผ่านมาเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของเด็กพิเศษหรือเด็กที่มีความบกพร่องทางสมองหรือที่เรามักจะเรียกเด็กเหล่านี้ว่าเด็กออทิสติกนั้นในที่ประชุมได้มีการนำเสนอเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเด็กพิเศษเหล่านี้ที่เป็นสาเหตุที่ทำไม่ให้เด็กนักพัฒนาได้นั่นก็คือ


1. ติดเกม ประมาณ 45,198 ราย


2. จิตกังวล ประมาณ 33,898 ราย


3. ซึมเศร้า ประมาณ 22,285 ราย


4. เด็กพิเศษที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก ประมาณ 18,000 ราย


5. และเด็กพฤติกรรมเกเร 17,263 ราย


นอกจากสาเหตุข้างต้นที่ทำไม่ให้เด็กพัฒนาได้แล้วนอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อื่นๆอีกที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงสาเหตุ โดยเราได้ตรวจพบว่าจากจำนวนเด็กนักเรียนพิการที่เรียนร่วม ในสังกัด กทม. ของปีการศึกษา 56 นั้นซึ่งจะมีเด็กทั้งหมดโดยประมาณ 2,200 ราย พบว่าร้อยละ 20-30 หรือประมาณ 400 ราย เป็นเด็กพิเศษหรือออทิสติก


ซึ่งสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เด็กพิเศษไม่ได้รับการพัฒนา เกิดจากทัศนคติของผู้บริหารโรงเรียน ที่ไม่เปิดโอกาสการเรียนรู้เด็กพิเศษอย่างจริงจัง เพราะคิดว่าดูแลอย่างไรเด็กเหล่านี้ก็ไม่มีวันที่จะดีขึ้นมาได้ซึ่งผู้ปกครองเด็กพิเศษได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการศึกษาที่เกิดขึ้นกับบุตร หลานที่เป็นเด็กพิเศษ เช่น ทางโรงเรียนทั้งครูและเพื่อนๆในชั้นเรียนไม่ยอมรับความแตกต่างของเด็กพิเศษกับเด็กอื่นๆ ในโรงเรียน


ซึ่งมันเป็นผลเสียอย่างมากที่จะทำให้เด็กขาดโอกาสทางการศึกษาในระดับเดียวกับเด็กปกติทั้งนี้ตัวแทนจากโรงพยาบาลศิริราชพยาบาลได้เสนอแผนให้ กทม.มีการปรับปรุงการศึกษาเพื่อเด็กพิเศษ ออกเป็น 3 ระยะ คือ


ระยะสั้น ให้มีการปรับทัศนคติที่มีต่อเด็กพิเศษให้คุณครูได้ดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่เป็นเด็กพิเศษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระยะกลาง เพิ่มบุคลากรครูที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน

ระยะยาว ควรมีการฝึกอบรมและผลิตบุคลากร โดยการสร้างคณะศึกษาศาสตร์หรือจิตวิทยา


เราจะเห็นได้ว่าการที่เด็กไม่พัฒนานั่นเกิดจากสาเหตุใดบ้างและเราสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างไรต่อไปเราจะมีอะไรมานำเสนอเพื่อนๆได้รู้อีกอย่าลืมติดตากันนะคะ



credits: Dietza.com ข่าวสุขภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น